เรียนในห้องกับในชีวิตจริง มันโคตรต่าง! เด็กหลังห้อง สู่ Creative ระดับโลก! | อ.ต้น นุวีร์ เลิศบรรณพงษ์

เรียนในห้องกับในชีวิตจริง มันโคตรต่าง! เด็กหลังห้อง สู่ Creative ระดับโลก! | อ.ต้น นุวีร์ เลิศบรรณพงษ์

เรียนในห้องกับในชีวิตจริง มันโคตรต่าง! เด็กหลังห้อง สู่ Creative ระดับโลก! คิดแบบอาจารย์ต้น นุวีร์ เคล็ดลับดีๆที่ไม่ควรพลาด

อ. ต้น นุวีร์ ปัจจุบันทำอาชีพเป็น Head of Invention ที่ Mindshare Thailand ทั้งยังเป็นอาจารย์พิเศษตามสถาบันหรือมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และยังเขียนหนังสือหรือบทความที่เพจ BrandAge อีกด้วย

ช่วงชีวิตในวัยเด็กเป็นยังไงบ้าง

เป็นเด็กหลังห้องและชอบศิลปะ จุดเปลี่ยนของชีวิตมาจากคาบวิชาเลี้ยงปลา ซึ่งเราทำได้ดี เพราะไม่ทำตามตำรา แต่เน้นอาศัยการถามผู้เชี่ยวชาญการเลี้ยงปลา จึงมองว่า วิธีการทำธุรกิจจึงควรเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ตรง ตำราอาจจะใช้อ้างอิงได้แค่บางอย่างเท่านั้น

เรียนจบอะไรมา

เรียนจบนิเทศศิลป์ ภาควิชาการออกแบบโฆษณาซึ่งได้งานตั้งแต่ปี 3 โดยขออาจารย์ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ทำให้เห็นว่าการทำงานกับการเรียนในห้องนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ถือว่าเป็นยุคทองของเด็กหลังห้องให้รู้จักถึงคำว่า Passion มีไหวพริบ รู้จักความผิดหวังบ่อย ๆ ทำให้เกิดภูมิคุ้มกัน เมื่อเจออะไรผิดหวังจะได้ไม่ล้มแล้วเจ็บหนัก ความรู้เป็นแค่พื้นฐานไปต่อยอดกับประสบการณ์จริงเท่านั้น

ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย เจอปัญหาอะไรบ้างไหม

การทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วยนั้นต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก เช่น เมื่อเจอ Toxic People หรือ Toxic Moment แต่เราถือคติ Let it be หรือปล่อยมันไป ทำให้ไม่ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้มาก ด้วยสภาพแวดล้อมที่เครียดอยู่แล้ว เราจึงควรเก็บเฉพาะคนที่ดีกับเราและทำงานร่วมกับเรา ให้พลังงานแง่บวกแก่เรา และเราจะผ่านมันไปได้

งาน Creative คืออะไร

หากพูดถึงงานสาย Creative แล้ว…เทียบกับการจีบผู้หญิง เรามีหน้าที่ปั้นคนให้ผู้หญิงสนใจ สิ่งแรกที่ต้องมีคือ Brand Personality คือการสร้าง Character หรือจุดขาย สไตล์ที่ได้อารมณ์ 

พอได้จุดขายแล้ว สิ่งต่อมาคือการสร้าง Creative Strategy หรือคือวิธีการพูดหรือความคิดดี ทำยังไงให้นำเสนอและผู้รับฟังสนใจ เกิด Visual Impact ทำให้เขานึกถึงเราได้ตลอด  

และสุดท้ายคือ Communication  คือการหาวิธีให้ตัวสินค้า หรือตัวสารไปพบกับผู้รับสาร (หรือในที่นี้คือผู้หญิง) และต้องถูกใจหรือจำคำพูดของเราได้ภายในห้าวินาที และรู้สึกอยากเจออีก และจะเกิดเป็น Brand Belief เชื่อในสิ่งที่เราพูด และเกิดเป็น Brand Love รักทุกอย่างที่เราทำ เปรียบเสมือนตัวเราเป็น Product จะต้องหาวิธีการให้ Outstanding หรือโดดเด่นมากที่สุดและต้องมีคุณค่า ให้แง่คิด เน้นอารมณ์และความรู้สึกเป็นสำคัญ

งาน creative ของไทยต่างกับของต่างประเทศยังไง

 ของต่างประเทศจะมีการแยกสายกันชัดเจนในขณะที่ของไทยนั้นจะรวมกันหมด ซึ่งจริง ๆ ควรแยกกัน เราควรโฟกัสว่าตำแหน่งของเราคืออะไร มิเช่นนั้นภาระงานจะหนักมากจนเกินไปจนกลายเป็นจับกัง ต้องมีอุดมการณ์ ต้องโฟกัสสิ่งที่เราชอบ

งาน creative ที่ดีควรเป็นอย่างไร

ต้องคิดจาก inside + good idea จึงจะต่อยอดไปยังผู้คนในสังคมได้ ควรให้แง่คิดต่อสังคม นอกจากได้ความตลก แหวกแนวแล้ว ต้องให้แง่คิดต่อสังคมด้วย

ถ้าไอเดียตัน คิดงานไม่ออก มีวิธีแก้ไหม

หากคิดงานไม่ออก ให้ลองอ่านหนังสือหลากหลาย ไปเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะ นิวยอร์กที่รวมสิ่งต่าง ๆ ของโลกไว้ รวมถึงเขียนเยอะ ๆ ทำให้เกิดธนาคารไอเดีย แต่ต้องอยู่ที่ประสบการณ์และการสะสมด้วย 

จากเด็กหลังห้อง กลายมาเป็นอาจารย์ได้อย่างไร

การโดนอาจารย์ดูถูกในสมัยก่อน  จึงอยากเป็นอาจารย์ที่ไม่พูดกับลูกศิษย์แบบดูถูก โดยเริ่มเป็นอาจารย์ตั้งแต่ปี 3 ซึ่งได้รับโอกาสจากอาจารย์ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยรังสิตที่เล็งเห็นความสามารถจากการประกวดวาดภาพนั่นเอง 

เทคนิคการเป็นอาจารย์คือการดันเด็กหลังห้อง เพราะเรารู้ว่าเด็กหลังห้องชอบอะไร และเพียงไม่กี่อาทิตย์ เด็กหลังห้องกลับกลายมาเป็นเด็กหน้าห้อง เพราะอยากเรียน นี่คือสิ่งที่ทำให้เรามี Passion ในการเป็นอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง 

มีลูกศิษย์ลูกหามากมายที่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งส่งเงินสร้างบ้านให้พ่อแม่ได้ โดยไม่ได้สนเงินเดือนว่าจะได้เท่าไร เพราะเงินเทียบไม่ได้เลยกับความภาคภูมิใจที่ได้รับจากอาชีพนี้  และไม่ได้สอนเด็กแค่เนื้อหาในปริญญา แต่สอนให้เด็กรู้ถึงคำว่า ‘ปริญญาชีวิต’ ที่ไม่ว่ามีเงินแค่ไหนก็หาซื้อไม่ได้

ถ้านั่งไทม์แมชชีนกลับไปในอดีตได้ จะบอกอะไรกับตัวเรา

เป็นเด็กหลังห้องเหมือนเดิมที่สุด กินไอศกรีมให้ครบทุกรสในโลก ถ้าบอกให้ตัวเราขยันเรียน ชีวิตอาจจะไม่มีวันนี้

แล้วถ้านั่งไปในอนาคตล่ะ จะบอกอะไร

เที่ยวให้มากกว่านี้ ผจญภัย มีความสุขกับสิ่งตรงหน้าให้มากกว่านี้

อยากฝากบอกอะไรกับเด็กที่โดนการศึกษาในปัจจุบันทำร้ายไหม

ดำเนินชีวิตตามหลัก ททท (ทำทันที) เมื่อเรามีความสุขแล้ว เราจะได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘แผนที่ชีวิต’ ไว้เพื่อเดินไปยังเส้นทางที่ถูกต้องในอนาคตได้อย่างมีความสุข