หากพูดถึงช็อกโกแลตที่ขายดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก คงมีแบรนด์ Hershey ปรากฏขึ้นมาในหัวของทุก ๆ คนแน่เลยใช่ไหมครับ แต่รู้ไหมว่ากว่าจะมาเป็นช็อกโกแลตที่ขายดีระดับแสนล้านบาทนั้น เจ้าของธุรกิจอย่าง Milton Hershey เองล้มเหลวมาหลายครั้ง ทั้งธุรกิจเจ๊ง เศรษฐกิจแย่ อะไรสารพัดไปหมด แต่อะไรที่ทำให้เขาผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้ มาติดตามไปพร้อม ๆ กันเลยครับ
มิลตันในวัยเด็กไม่ใช่คนเรียนเก่งอะไรมาก เขาย้ายโรงเรียนถึงหกครั้งจนอายุ 13 ก่อนจะรู้สึกว่าการเรียนในโรงเรียนไม่ตอบโจทย์ เขารู้สึกอยากทำธุรกิจมากกว่า ทำให้เขาตัดสินใจลาออกมาเรียนรู้โลกธุรกิจภายนอกรั้วโรงเรียน
เขาได้ลองไปฝึกงานในสายงานต่าง ๆ โดยที่แรกฝึกงานที่บริษัทสิ่งพิมพ์ตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาก็ไม่ชอบงานนี้ ทนทำไปได้แค่สองปีก็ถูกไล่ออก ไม่สิ เขาทำให้ตัวเองถูกไล่ออกต่างหาก จะอย่างไรก็ตาม งานต่อมาที่เขาทำก็คือ ไปทำงานกับ Joseph Royer เจ้าของร้านลูกกวาดและไอศกรีม นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นให้เขาเข้าสู่เส้นทางของราชาขนมหวาน
หลังจากทำงานกับโจเซฟมาได้ราว ๆ 4 ปี เขาก็คิดว่าตนเองน่าจะลองทำอะไรของตนเองจริง ๆ สักที ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงนิทรรศการ Centennial เทศกาลระดับโลกที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่สหรัฐ ถ้าเอาลูกกวาดไปขายที่งานนี้แล้วล่ะก็…ยังไงก็รวยเละ
เขาได้เริ่มทำธุรกิจลูกกวาดโดยอาศัยความช่วยเหลือจากแม่และน้า พร้อมกับนำลูกกวาดที่เขาผลิตไปขายที่เทศกาล Centennial ซึ่งแน่นอนว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ด้วยความที่เขายังมือใหม่ในวงการนี้มาก แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ กัดฟันสู้ต่อไปจนถึงหกปี กระทั่งปี 1882 ธุรกิจแรกของเขาก็ได้จบลงและถูกธนาคารยึดไป
ยังไม่จบ เขายังไม่ยอมแพ้
เขาได้เดินทางไปยังเมือง Denver ที่รัฐโคโลราโดตามคำบอกพ่อที่ว่าเหมาะกับนักธุรกิจ แต่พอเขาไปถึง โชคร้ายก็เกิดกับเขาทันที เมืองเดนเวอร์ในตอนนั้นกำลังเข้าสู่ช่วงเศรษฐกิจซบเซาเพราะแร่ที่เป็นสินค้าหลักขาดแคลน ค้าขายอะไรก็ไม่ดี หากตั้งธุรกิจไปก็ต้องพังแน่ ๆ เขาจึงไปเป็นลูกจ้างร้านลูกกวาดในเมืองแทน
ที่นั่น เขาได้เรียนรู้การทำลูกกวาดต่าง ๆ รวมถึงการทำคาราเมลนมสด เก็บหอมรอบริบได้ประมาณสองปี เขาก็ลองเปิดธุรกิจที่สองของตัวเองขึ้นมาที่นิวยอร์กและชิคาโก แต่อนิจจาครั้งนี้สวรรค์ก็ยังไม่เป็นใจอีก คราวนี้ธุรกิจของเขาล้มเหลวเพราะไม่มีเงินทุนที่มากพอ แต่เขาก็ยังยื้อมาได้ถึงสามปี
เขาตัดสินใจกลับไปที่ Lancester บ้านเกิด
คนหลายคนในครอบครัวกลับมามองเขาด้วยสายตาว่าทำอะไรก็ไม่ดี ล้มเหลว ไร้ความรับผิดชอบ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้หรอก มันจะต้องมีสักหนทางที่จะประสบความสำเร็จสิ ขณะที่เขากำลังคิดอะไรไปเรื่อย ในที่สุด สวรรค์ก็เข้าข้างเขา
แม่กับน้าสาว รวมถึงพนักงานคนหนึ่งที่เคยทำงานกับเขาสมัยตอนร้านแรก ๆ ที่ฟิลาเดลเฟียยังคงมีความเชื่อมั่นในเขาอยู่ พวกเขาช่วยกันผลิตคาราเมลยี่ห้อ Crystal A ที่มาพร้อมกับสโลแกนอย่างหวานจนละลายในปาก และครั้งนี้ก็สำเร็จครับ ในที่สุดเขาก็ได้รับออเดอร์ให้ผลิตคาราเมลล็อตใหญ่เพือส่งออก
ออเดอร์จำนวนมากทำให้เขาต้องหาเงินหมุนมาใช้เพื่อไม่ให้ล้มแบบธุรกิจที่สอ โดยได้ทำการกู้เงินจากธนาคารแห่งชาติ Lancester เพื่อซื้อวัตถุดิบ แน่นอนว่าธนาคารเห็นว่าเขาน่าจะรุ่งและมีเงินพอจ่าย จึงได้ให้เขาทำการกู้ยืมเงิน ซึ่งเขาก็ได้หมุนเงิน ซื้อวัตถุดิบและส่งออกคาราเมลไปทั่วประเทศ เรียกได้ว่าในที่สุด เขาก็ประสบความสำเร็จกับธุรกิจคาราเมลตามที่ตั้งใจไว้
แต่ทุกคนครับ นั่นยังไม่จบ หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้ไปเข้าร่วมงาน World’s Columbian Exposition ซึ่งเป็นงานฉลองครบรอบ 400 ปีจากการค้บพบทวีปอเมริกาของโคลัมบัส ที่มีร้านค้ามาออกงานมากมาย
เขาได้เที่ยวชมงานไปเรื่อย ๆ จนเจอกับเครื่องทำช็อกโกแลต ซึ่งทำช็อกโกแลตออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ผนวกกับเขามองว่าธุรกิจช็อกโกแลตน่าจะไปได้ดีกว่า จึงตัดสินใจขายธุรกิจคาราเมลในราคา 1 ล้านเหรียญเพื่อนำเงินทุนมาก่อตั้งบริษัทช็อกโกแลต Hershey Chocolate Company
แม้ว่ามันจะเสี่ยง แต่มันก็คุ้มค่ามาก
เพราะทำให้เขาค้นพบสูตรช็อกโกแลตนมที่ครองใจตลาด เมื่อช็อกโกแลตที่ออกมาติดตลาด และมันสร้างรายได้ให้เขามหาศาล วัน ๆ หนึ่ง เขาสามารถผลิตช็อกโกแลตได้มากถึง 40 กว่าตัน และมียอดขายมากกว่าสามพันล้านบาทต่อปี และเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ จนวันนี้ มีพนักงานนับหมื่นคน และทำรายได้ต่อปีมากถึงสองแสนล้านบาท !
ในชีวิตของชายผู้หนึ่ง ล้มเหลวถึงสองครั้งสองครา ทำสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบมาก็มาก ฝืนใจทำก็เยอะ ครอบครัวบางคนก็ดูถูก แต่หากเขาเลือกที่จะยอมแพ้ในตอนนั้น วันนี้ ช็อกโกแลต Hershey คงไม่ได้ถือกำเนิดขึ้น ฉะนั้น อย่ายอมแพ้ หากคุณมีไฟและสู้ต่อ มันจะต้องมีสักวันที่โชคเข้าข้างคุณแน่ เชื่อผมสิครับ
ขอบคุณข้อมูลสำหรับ : hersheyarchives, qualitylogoproducts, biography ด้วยครับ